โรคและอาการของแมว
ภาวะขาดน้ำในแมว

เมืองไทยเป็นเมืองร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนที่อากาศมักพุ่งขึ้นสูงจนเราแทบละลาย ซึ่งอากาศร้อนนี้เองเสี่ยงต่อการที่แมวจะเกิดภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะในแมวที่ไม่ค่อยชอบกินน้ำด้วย แต่นอกจากอากาศร้อนแล้วก็ยังมีสาเหตุอื่นอีกที่ทำให้แมวขาดน้ำได้ด้วยเช่นกัน
ภาวะขาดน้ำนั้นคือการที่ร่างกายแมวสูญเสียของเหลวไป ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ใช่แค่น้ำอย่างเดียว หากแต่รวมถึงเกลือแร่ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม หรือคลอไรด์ ซึ่งทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดเพี้ยนไปได้
อาการของแมวที่มีภาวะขาดน้ำ
อาการเด่นของแมวที่มีภาวะขนาดน้ำคือเมื่อดึงผิวหนังตรงต้นคอแล้วจะยืดค้างไว้เหมือนเต้นท์ไม่หดกลับลงไปทันที ซึ่งในแมวปกติถ้าดึงแล้วปล่อยจะหดกลับไปทันที ซึ่งหากแมวมีภาวะเช่นนี้แสดงว่าแมวได้มีการขาดน้ำอย่างหนักแล้ว ควรที่จะพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
ส่วนอาการอื่นๆ ที่สามารถพบได้มีดังนี้
- เหงือกแห้ง
- เฉื่อยชา ซึม
- ไม่กินอาหาร
สาเหตุ
ภาวะขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้โดยกินน้ำน้อยหรือว่าสูญเสียน้ำไปมาก ซึ่งการอาเจียน ท้องเสีย มีไข้ เป็นภาวะลมแดด โรคเบาหวาน รวมไปถึงโรคอื่นๆ ก็สามารถโน้มนำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้
แนวทางการรักษา
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของการขาดน้ำว่าเป็นอย่างไร ในเบื้องต้นสัตวแพทย์อาจจะให้น้ำเกลือใต้ผิวหนังหรือถ้ารุนแรงมากอาจจะให้น้ำเกลือเพิ่มทางหลอดเลือดดำเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำให้อยู่ในระดับปกติเสียก่อน ก่อนที่สัตวแพทย์จะเริ่มทำการรักษาสาเหตุของโรคอื่นๆ ต่อไป
พยาธิเม็ดเลือดในแมว

Mycoplasma เป็นแบคทีเรียที่มักเป็นสาเหตุของการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะและปอดอักเสบ โดยแบคทีเรียนี้จะจัดอยู่ใน order mollicutes อีกทั้ง เป็นแบคทีเรียที่ไม่มีผนังเซลล์ และสามารถอยู่ได้ในภาวะที่ไม่มีออกซิเจน ทำให้มีความทนทางต่อยาปฏิชีวนะ ดังนั้นค่อนข้างที่จะท้าทายในการวินิจฉัยและรักษา
Hemotrophic mycoplasmosis คือการติดเชื้อmycoplasmaที่เม็ดเลือดแดง โดยจะแบ้งออกเป็น2 ชนิด ได้แก่ M. haemofelis มีความรุนแรงมากกว่าอีกชนิด คือ M. haemominutum โรคนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า haemobartonellosis หรือfeline infectious anemia แมวบางตัวจะไม่แสดงอาการของการติดเชื้อให้เราเห็น หรือบางตัวอาจแสดงอาการเลือดจางอ่อนๆ และบางตัวอาจเสียพลังงานและตายไป
อาการ
- 50% จะมีไข้อย่างเฉียบพลัน
- ซึม
- อ่อนแรง
- ไม่อยากอาหาร
- เหงือกซีดม่วง
- ม้ามขยายขนาด
- ดีซ่าน
สาเหตุ
สัตว์สามารถติดแบคทีเรียนี้ได้ผ่านทางเห็บ และลูกแมวยังสามารถติดมาจากแม่ได้ด้วย หรืออาจติดจากการต่อสู้ในแมว การถ่ายเลือดจากตัวที่มีเชื้อไปยังตัวที่ติดเชื้อ
การรักษา
ถ้าหากพบว่ามีการติดเชื้อได้เร็ว สัตวแพทย์จะทำการจ่ายยาปฏิชีวนะแล้วให้ทำการรักษาตัวที่บ้าน ระยะเวลาการจ่ายยานั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ ถ้าหากแมวของคุณมีอาการเลือดจาง แมวจะต้องได้รับยาสเตียรอยด์ร่วมด้วย ส่วนมากแมวมักจะมีอาการเลือดจางอย่างรุนแรงและป่วยหนักส่งผลให้ต้องทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยสัตวแพทย์จะทำการรักษาโดยการให้สารน้ำและทำการถ่ายเลือดถ้าหากมีความจำเป็นเพื่อให้สุขภาพแมวทรงตัว แต่ถ้าหากว่าปล่อยไว้ไม่ทำการรักษาส่วนมากแมวมักจะเสียชีวิต
โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบในแมว

หนึ่งในโรคที่คนรักแมวไม่อยากให้แมวของท่านป่วยเป็นโรคนี้ก็คือโรค เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (feline infectious peritonitis; FIP) ความน่ากลัวของโรคนี้คือเกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (corona virus) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับที่ก่อให้เกิดโรคซาร์ส (SARs) หรือ เมอร์ส (MERs) ในคน ไวรัสชนิดนี้มีความไวต่อการเกิดการกลายพันธุ์ได้ง่าย คือเชื้อที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของทางเดินอาหาร สามารถนำไปสู่การเกิดโรคนี้ได้ นอกจากนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ก็จะเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้อย่างแน่นอน และยังเป็นโรคที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว หากท่านเลี้ยงแมวไว้หลายตัวเป็นกลุ่มใหญ่ๆแล้วล่ะก็ คงจะหนีไม่พ้นการแพร่ระบาดของโรคไปยังตัวอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับแมวทุกเพศทุกวัย แต่มักเป็นในแมวที่มีอายุน้อย ประมาณ 3 เดือน ถึง 3 ปี และมักเป็นแมวที่เพิ่งนำเข้ามาในฝูงใหม่ มีความเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับความเครียดของแมวหรือการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของเชื้อในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดเป็นเชื้อชนิดนี้ขึ้นมา
อาการของโรค
โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบนั้นจะแสดงอาการแตกต่างกันออกไปขึ้นกับระดับของภูมิคุ้มกันของแมวในแต่ละตัว หากแมวมีภูมิคุ้มกันที่ดีมาก ก็จะสามารถกำจัดเชื้อโรคออกไปได้อย่างเด็ดขาด และไม่แสดงอาการใดๆ อาจมีอาการท้องเสียเล็กน้อยได้ แต่ควรระวังการกลายพันธุ์ที่รุนแรงหรือเมื่อภูมิคุ้มกันตกในอนาคต หากภูมิคุ้มกันไม่ดี ก็อาจก่อให้เกิดอาการได้ 2 แบบ เราเรียกกันว่า แบบเปียก (wet หรือ effusive form) และแบบแห้ง (dry หรือ non-effusive form) ทั้ง 2 แบบนี้มีอาการแตกต่างกันออกไปดังนี้
- อาการของโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบแบบเปียก
- ท้องมาน ขยายใหญ่ เนื่องจากมีน้ำในช่องท้อง (peritoneal effusion)
- หายใจลำบาก หายใจกระแทก เนื่องจากอาจมีน้ำในช่องอก (pleural effusion)
- มีไข้ ขึ้นๆ ลงๆ
- ซึม ไม่กินอาหาร อ่อนแรง
- ท้องเสีย น้ำหนักลด
- อาการของโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบแบบแห้ง
- มีไข้ ขึ้นๆ ลงๆ
- ซึม ไม่กินอาหาร
- โลหิตจาง ถ่ายปัสสาวะใสและปริมาณมาก กินน้ำมาก เนื่องจากรอยโรคที่ไต
- ดีซ่าน เนื่องจากการพบของรอยโรคในตับ
- ตาแดงหรืออักเสบ
- อาการทางระบบประสาท เช่น ชัก ตาบอด เดินโซเซหรือไม่สัมพันธ์ เนื่องจากรอยโรคในสมอง
การรักษา
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการติดเชื้อเยื่อบุช่องท้องอักเสบนั้นไม่ทางรักษาให้หายขาดได้ สามารถทำได้เพียงให้ยาเพื่อช่วยลดอาการ เช่น หากเกิดอาการชัก ก็ให้ยาควบคุมอาการชัก ไม่กินอาหารก็ให้สารน้ำทดแทน ส่วนยาลดไข้อาจไม่จำเป็นเพราะมักจะมีอาการไข้ขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว ให้ยาบำรุงตับหากพบอาการโรคที่ตับ หรือการให้ยาปฎิชีวนะหากพบว่ามีการติดเชื้อแทรกซ้อน ไม่ว่าจะในทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจหรือในกระแสเลือด และที่สำคัญในกรณีที่มีน้ำในช่องอกหรือช่องท้องในรายของอาการแบบเปียก จำเป็นที่จะต้องได้รับการเจาะเอาน้ำในช่องอกและช่องท้องออกเพื่อช่วยให้น้องแมวมีอาการที่ดีขึ้น หายใจได้สะดวกขึ้น แต่น้ำมักจะมาอีกเรื่อยๆเนื่องจากหลอดเลือดในช่องท้องหรือช่องอกนั้นเกิดการอักเสบจากภูมิคุ้มกันไปแล้ว สัตวแพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยชะลอการกลับมาของน้ำโดยการให้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ แต่อาการของโรคนี้โดยเฉลี่ยแล้วแมวจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือนอยู่ดี
การดูแลและจัดการ
โรคนี้เกิดจากการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคในทางเดินอาหาร ซึ่งการกลายพันธุ์นี้มักจะเกิดจากการที่นำแมวเอามาในสถานที่เลี้ยงใหม่แล้วมีการถ่ายอุจจาระ เชื้อโรคจะพยายามปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทำให้มีการเกิดกลายพันธุ์ ประกอบกับแมวมีความเครียดทำให้เกิดการติดเข้าสู่ทางเดินหายใจหรือทางเดินอาหารกลับเข้าไป วิธีการจัดการคือควรหมั่นทำความสะอาดบริเวณห้องน้ำหรือทรายที่แมวถ่ายอย่างเป็นประจำโดยเฉพาะในแมวเด็ก และพยายามสังเกตอาการของแมวอย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจจับโรคได้อย่างรวดเร็ว และแยกแมวติดเชื้อออกจากตัวอื่น ความโชคร้ายคือการทำวัคซีนนั้นสามารถนำเชื้อชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกายแมวแล้วก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ได้เอง ทำให้การทำวัคซีนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แนะนำให้ทำ
โรคของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างในแมว

โรคของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างในแมว (feline lower urinary tract disease; FLUTD) หรือกลุ่มอาการความผิดปกติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ (feline urologic syndrome; FUS) เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุหลักจนถึงปัจจุบันนี้ มักจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการที่ ถ่ายปัสสาวะไม่ออก มีปัสสาวะเป็นเลือดหรือติดเชื้อ รวมถึงการมีนิ่วไปอุดตัน เหล่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุจนถึงปัจจุบัน ในแมวเพศผู้มักพบได้บ่อยมาก ซึ่งมักจะเรียกโรคนี้ว่า feline idiopathic cystitis คือเกิดการอักเสบของทางเดินปัสสาวะแบบไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งปัจจุบันมีความเชื่อว่าเกิดจาก “ปัจจัยร่วม” หลากหลายรูปแบบ โดย1 ในสาเหตุหลักเป็นเรื่องของ “ความเครียด” ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แมวเกิดอาการอั้นปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดของระบบทางเดินปัสสาวะไม่ทำงาน สาเหตุอื่นๆที่มีรายงานได้แก่การทำหมันให้แมวตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ควบคุมอาหารทำให้แมวอ้วนและมีไขมันบางส่วนไปเบียดท่อปัสสาวะ จึงเกิดเป็นอาการฉี่ไม่ออกตามมา
อาการของโรค
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว บางครั้งเราอาจเรียกกันว่าโรคฉี่ไม่ออก แมวจะแสดงอาการไม่ถ่ายปัสสาวะ หรือพยายามเบ่งถ่ายแต่ไม่ออก หรืออาจถ่ายออกมากระปิดกระปอย และอาจมีเลือดปนได้ จะสังเกตว่าท้องของแมวจะใหญ่ขึ้นเนื่องจากประเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ บางครั้งหากเป็นนานๆอาจพบว่ามีอาการไตวายร่วมด้วยเนื่องจากการสะสมของปัสสาวะลามขึ้นมาจนถึงไตและไตไม่สามารถขับของเสียออกต่อไปได้แล้ว อาการของโรคไตวายเฉียบพลันได้แก่ อาการอาเจียน มีการสะสมของแร่ธาตุโพแทสเซียมในเลือดสูงซึ่งเป็นผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
การรักษา
เมื่อมีอาการฉี่ไม่ออก สัตวแพทย์จะทำการสวนท่อปัสสาวะคาไว้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะทำการสวนคาไว้เพื่อทำการสวนล้างท่อปัสสาวะ เนื่องจากเมื่อเกิดการอุดตันจะเกิดการสะสมของตะกอนนิ่ว โดยเฉพาะนิ่วทรายในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจมาอุดตันท่อปัสสาวะได้ รวมถึงเมือกที่หลั่งเป็นปกติก็ไม่สามารถขับทิ้งได้ การสวนล้างนอกจากจะช่วยระบายของเสียแล้ว ยังช่วยกำจัดเชื้อโรคที่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้ เช่นกัน ส่วนใหญ่การสวนจะใช้เพียงแค่น้ำเกลือฉีดเข้าไปเพื่อเจือจาง เพราะการให้สารเคมีอื่นๆเข้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะได้ ดังนั้นจึงต้องทำต่อเนื่องจนกว่าปัสสาวะจะกลับมาเป็นปกติ ระหว่างนี้ คุณหมอจะให้ยากินที่ช่วยขยายท่อปัสสาวะร่วมกับยาปฏิชีวนะ เพื่อทำให้อาการดีขึ้น นอกจากนี้การได้รับน้ำเกลือจะทำให้มีปริมาณปัสสาวะมากขึ้น และจะไปเจือจางของเสียในกระเพาะปัสสาวะได้อีกเช่นกัน ทั้งนี้ หากทำการสวนปัสสาวะไม่ได้ เบื้องต้นอาจใช้วิธีการเจาะเอาปัสสาวะออกผ่านทางหน้าท้อง (cystocentesis) โดยใช้เข็มเจาะดูดระบายออก และสามารถนำไปเพาะเชื้อได้ทันที ซึ่งเมื่อถึงขั้นที่ไม่สามารถสวนท่อปัสสาวะเพื่อช่วยระบาย สุดท้ายแมวอาจจะต้องจบที่การผ่าตัดแปลงเพศ (urethrostomy) เพื่อระบายฉี่ออกทางหน้าท้อง โดยนำท่อปัสสาวะหรือกระเพาะปัสสาวะเย็บเข้ากับผนังช่องท้อง เพื่อให้แมวสามารถระบายของเสียออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะได้
การดูแลและจัดการสัตว์
แมวที่มีประวัติเคยฉี่ไม่ออก มักจะพบว่ามีอุบัติการณ์ของการกลับมาเป็นซ้ำค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากสาเหตุที่ยังไม่ถูกกำจัดออกไป เช่น ความเครียด หรือการกินอาหารที่ไม่เหมาะสมภายหลังจากการทำหมัน ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องหาสาเหตุโดยเร็ว เรื่องของความเครียดอาจจำเป็นต้องปรึกษาสัตวแพทย์ ว่ามีจุดไหนบ้างในการเลี้ยงที่เราทำให้แมวเกิดความเครียดได้บ้าง รวมถึงต้องป้อนยาและพาน้องแมวไปตรวจสุขภาพเป็นประจำสม่ำเสมอ ในกรณีที่ถูกผ่าตักแปลงเพศแล้ว แผลที่เป็นรอยเปิดใหม่ของทางออกปัสสาวะจะมีการเลอะและมีโอกาสติดเชื้อหรือตีบตันได้บ่อย ควรดูแลทำความสะอาดเป็นประจำทุกวัน และสังเกตอาการของน้องแมวอย่างใกล้ชิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น